Lunae\'s Fairytale: Little Mermaid ฉบับ Gundam SEED(ภาคLacus&Athrun)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ใต้ทะเลลึกที่แสงแดดส่องถึง มีเงือกสาวนางหนึ่งนาม
ลาคัส ผู้ได้รับสมญานาม
\"เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลง\" เนื่องจากมีน้ำเสียงที่ไพเราะมากขนาดไซเรนยังสู้ไม่ได้ และเป็นธิดาคนเดียวของราชาเงือกผู้ครอบครองคาบสมุทรPlantอันได้ชื่อว่างดงามยิ่งนัก ราชาเงือกทั้งรักและตามใจลูกสาวมากถึงขนาดอยากได้อะไรก็หามาให้หมด ไม่ว่าซากเรืออับปางประดับสวนประการังสีรุ้ง หรือปลาการ์ตูนแหวกว่ายในสวนดอกไม้ทะเล  โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกสายพันธุ์ปริศนา \"Haro\" ซึ่งมีสีสันสวยงามและสามารถส่งเสียงได้แม้ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นที่ถูกอกถูกใจเงือกสาวยิ่งนัก ทำให้ผู้สรรหาสิ่งนี้มาสามารถพิชิตใจเจ้าหญิงเงือกได้ง่ายดาย
คืนวันเกิดครบรอบ16ปี...เจ้าหญิงเงือกได้รับอนุญาตให้ไปเยือนอาณาเขตของดินแดนมนุษย์ได้ แน่นอนว่าลาคัสผู้มีความอยากรู้อยากเห็นย่อมไม่รอช้ารีบโผขึ้นสู่ผิวน้ำทันที แต่คืนแรกในการสำรวจชาวบกกลับกลายเป็นคืนพายุฝนฟ้าคะนอง ภาพแรกที่ปรากฎแก่สายตาเจ้าหญิงเงือกจึงเป็นเรือสำเภาขนาดใหญ่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยแรงลมฝน
ท่ามกลางความมืดมัวในยามราตรีที่แสงดาวถูกบดบังด้วยเมฆาทะมึนกลุ่มใหญ่บนฟากฟ้า ลาคัสสังเกตเห็นชายหนุ่มรูปงามนายหนึ่งเกาะซากสิ่งที่เคยเป็นประตูไม้บานใหญ่ บนบานประตูนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนอนหมอบคุดคู้จนมิอาจมองเห็นดวงหน้านั้นได้ ความสนใจของเจ้าหญิงเงือกผู้เยาว์วัยจึงพุ่งไปยังชายหนุ่มใบหน้าหวานซึ้งที่สลบไสลไม่ได้สติและกำลังจะหลุดร่วงจากประตูบานนั้นแล้ว!?!
ไม่รู้สิ่งใดดลใจ...เงือกสาวไร้เดียงสารีบพุ่งเข้าไปช่วยชายหนุ่มปริศนาทันที จากนั้นจึงออกแรงแบกชายหนุ่มไว้บนหลังแล้วแหวกว่ายฝ่าสายฝนที่กระหน่ำไปยังชายฝั่งอันอยู่ไม่ไกลนัก
เมื่อถึงเขตน้ำตื้น โชคดีที่เป็นยามค่ำคืน เจ้าหญิงเงือกจึงสามารถพาบุรุษปริศนาไปนอนพิงโขดหินและร้องเพลงเล่นรอชายหนุ่มตื่น หากแต่จวบจนฟ้าสางแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้สติ อีกทั้งน้ำทะเลก็ใกล้จะลดระดับแล้วด้วย หากดวงตะวันโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าเมื่อใด หญิงสาวต้องรีบกลับวังบาดาลทันทีตามกฎแห่งท้องทะเล
ทันใดนั้นเสียงเดินของพวกมนุษย์ก็กระทบโสตประสาทเข้า ทำให้ลาคัสรีบเร้นกายหลังโขดหินใหญ่แถวนั้นและแอบมองจากรอยแยกของช่องหินจนเห็นว่าชายหนุ่มได้รับการช่วยเหลือจากหญิงสาวชาวบ้านนางหนึ่งซึ่งสามารถปลุกบุรุษไร้นามได้ในขณะที่ลาคัสร้องเพลงรอทั้งคืน ทำให้เจ้าหญิงเงือกลาคัสกลับสู่ท้องทะเลด้วยความรู้สึกสบายใจปนเปด้วยความหงุดหงิดในดวงใจเมื่อนึกถึงภาพสาวชาวบ้านร่างใหญ่ประคองชายหนุ่ม
ขึ้นมานอนบนตัก...
เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน...เจ้าหญิงลาคัสก็ทนแรงคิดถึงชายหนุ่มที่ตนได้ช่วยชีวิตไว้ไม่ได้ ถึงขนาดอยากแปลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อไปพบหน้าและถามชื่อแซ่ให้รู้เรื่องรู้ราว หากแต่ด้วยกฎระเบียบของเงือกที่ห้ามการติดต่อคบค้ากับมนุษย์โดยเด็ดขาด ทำให้เจ้าหญิงเงือกลาคัสเจ็บปวดใจมากจนถึงกับล้มป่วย และเสียงเพลงที่เคยล่องลอยมาจากสวนประการังสีรุ้งก็ไม่มีใครได้ยินอีกนับแต่นั้นมา...
ความรู้ไปถึงเจ้าชาย
อัสรัน ผู้เป็นบุตรชายของกษัตริย์เงือกแห่งคาบสมุทรZAFTที่อยู่ใกล้กัน และดำรงตำแหน่งคู่หมั้นของเจ้าหญิงลาคัส จึงรีบรุดมาเยี่ยมพร้อมHaroสีม่วงตัวใหม่ เมื่อองค์หญิงเห็นHaroตัวใหม่ก็ดีใจมากรีบรับไปลูบคลำอย่างมีความสุข และHaroตัวแรกที่อัสรันนำมามอบให้ซึ่งเป็นสีชมพูสดดั่งสีผมของเจ้าหญิงนั้นก็ต้อนรับเจ้าชายด้วยการโดดเข้าใส่ใบหน้าหน้าเต็มแรงเช่นกัน โชคดีที่เจ้าชายอัสรันรับไว้ได้ทันไม่เช่นนั้นอาจดั้งจมูกหักได้
หลังจากพูดคุยสารทุกข์สุขดิบพอเป็นพิธีแล้ว เจ้าหญิงก็ยอมเผยความในใจครึ่งหนึ่งว่าอยากไปท่องเที่ยวบนโลกมนุษย์ หากแต่พระราชาไม่มีวันอนุญาตแน่และตนก็ไม่รู้ว่าจะแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างไร ด้วยความสงสารและมองโลกในแง่ดี เจ้าชายเงือกจึงแนะนำให้คู่หมั้นสาวไปขอความช่วยเหลือจากพ่อมด
ครูเซ่ซึ่งอาศัยอยู่ในปากปล่องภูเขาไฟใต้ทะเลลึกที่เป็นเขตหวงห้าม และเปิดสำนักรับแก้ไขปัญหาทุกประเภทด้วย
คาถาอาคม แน่นอนว่าเจ้าหญิงรีบแอบไปพบพ่อมดคนดังกล่าวทันที แต่สิ่งหนึ่งที่แม้แต่เจ้าชายอัสรันก็ไม่ทราบคือ
ค่าตอบแทนที่ครูเซ่เรียกร้องกับลูกค้านั้นแพง
มาก!
ณ สำนักงานของพ่อมดครูเซ่...
ลาคัสก้าวเข้าไปข้างในอย่างกล้าหาญและแจ้งความประสงค์อย่างได้ใจความ
\"ข้าต้องการมีสองขาเหมือนมนุษย์\"
ครูเซ่ลอบยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนแจ้งราคาที่เจ้าหญิงต้องจ่าย
\"ยาของข้าสามารถทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงได้ แต่ค่าตอบแทนที่เจ้าต้องจ่ายนั้นคือสิ่งล้ำค่าของเจ้า!\"
เมื่อเห็นเจ้าหญิงไม่ลังเลใจจึงระบุว่าสิ่งล้ำค่านั้นก็คือ
\"เสียง\" ของเจ้าหญิงนั่นเอง
และแจ้งเงื่อนไขว่ายานี้จะใช้ได้ผลเมื่อหางแห้งดีแล้วและห้ามให้ขาทั้งสองข้างถูกน้ำทะเลท่วมเด็ดขาด ในระยะเวลา3เดือนแล้วจะกลายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ส่วน \"เสียง\" นั้นสามารถมารับคืนได้หากยาผิดพลาด หรือเผลอลงทะเลใน3เดือนข้างต้น หากพ้นจากนั้นจะไม่คืน \"เสียง\" ให้ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น
เมื่อลาคัสลงชื่อในหนังสือสัญญาแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการแล้ว พ่อมดครูเซ่ที่ไม่มีใบประกอบโรคศิลป์แต่หาญกล้าประกอบวิชาชีพต้องห้ามก็เอื้อมมือไปยังลำคอดั่งนางหงส์ของลาคัส จากนั้นก็ดึงเสียงอันไพเราะที่สุดในคาบสมุทรPlantออกมาเป็นสีชมพูเรืองรองดุจเพชรสีล้ำค่า และลาคัสก็รับขวดยาซึ่งแปะฉลากกำกับการใช้เป็นขั้นตอนละเอียดยิบแต่ไม่มีตราอ.ย.กำกับ
เจ้าหญิงรีบรุดออกจากเขตหวงห้ามของอาณาจักรไปยังชายหาดที่เคยพาบุรุษปริศนาผู้มัดใจนางได้ในเสี้ยววินาทีแรกที่เห็น และตะกายขึ้นไปบนโขดหินเหนือน้ำทะเล รอคอยจนหางแห้งดีแล้วจึงดื่มยาลงไป ความร้อนดั่งลาวาแผดเผาไหลผ่านลำคอไร้เสียงของนางลงไปยังกระเพาะ และแผ่ซ่านไปยังหางสีชมพูเหมือนเส้นผมหยิกหยักศกของนาง ความทรมานดั่งตกลงไปในภูเขาไฟใต้ทะเลลึกที่ยังมีชีวิตชักนำสติเงือกสาวดิ่งลงสู่ภวังค์อันมืดมิด และไม่รับรู้สิ่งใดอีก...
\'ที่นี่คือ...\'
นาทีแรกที่ลาคัสลืมตาขึ้นมาและสายตาสัมผัสสิ่งไม่เคยคุ้น ไม่ใช่ท้องฟ้าดารดาษด้วยหมู่ดาวหรือโถงถ้ำใต้ทะเลลึกที่ตนพักอาศัย หากแต่เป็นเพดานลวดลายวิจิตรตระการตา รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้เหมือนที่พบเห็นในซากเรืออับปางประดับสวนส่วนตัวของนาง
เมื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้สิ้นสติไปได้นั้น เจ้าหญิงเงือกรีบก้มลงดูหางของตนเองทันที แล้วปลาบปลื้มเป็นล้นพ้นเมื่อพบว่าหางสีชมพูกลายเป็นเรียวขาขาวผ่องดั่งไข่มุกเหมือนสีผิวของนาง ผิวที่คู่หมั้นชื่นชมเสมอว่าเนียนละเอียดดั่งผืนทราย ขาวใสดั่งมุกเนื้อดี...
\"ฟื้นแล้วหรือ?\"
เสียงมนุษย์ผู้ชายดังขึ้นทำให้ลาคัสได้สติ รีบหันไปหาต้นเสียงนั้นทันที และแทบจะกรีดร้องด้วยความยินดีเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงเมื่อครู่คือชายหนุ่มที่ตนช่วยชีวิตไว้นั่นเอง หากแต่อีกคนที่ตามมาข้างหลังทำให้หัวใจของเจ้าหญิงเงือกน้อยโหวงเหวงอย่างประหลาด
\'ผู้หญิงคนนั้น...คนที่ช่วยผู้ชายของเราไว้ที่ชายหาดนั่นเอง!\'
ลาคัสโศกเศร้าเล็กๆ หากแต่ประโยคต่อมาของชายหนุ่มทำให้หัวใจพองโต
\"ชื่อลาคัสใช่มั้ย? ข้าชื่อ
คิระ เป็นเจ้าชายของเมืองนี้\"
เจ้าชายคิระยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเงือกสาวในร่างมนุษย์ผู้หญิง
\"เจ้าตัวนี้มันบอกชื่อเจ้ากับข้าน่ะ\"
ลาคัสมองดูในมือของเจ้าชายและอุทานอย่างไร้เสียงออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นชัดเจนว่า
Pink-Chan...Haroตัวแรกที่คู่หมั้นให้มาติดมือมาถึงบนบกนี้ด้วย แถมยังมีชีวิตอยู่รอดได้อีก!?!
\"Hello! Haro! How\'re you? Lacus! Are you fine?\"
Pink-chanร้องเป็นเพลงด้วยเสียงแหลมๆของมันเหมือนทุกครั้งที่ได้เจอคนแปลกหน้า
\"เหมือนปลาปักเป้าพูดได้เลยนะ สัตว์เลี้ยงของเธอเนี่ย\"
สตรีที่เดินตามหลังเจ้าชายเข้ามาทำเสียงเยาะๆ และส่งสายตาไม่เป็นมิตรมายังเงือกสาว
\"คนนี้คือเฟลย์ เป็นผู้มีพระคุณของข้าเอง\"
เจ้าชายคิระรีบแนะนำตัวเมื่อนึกได้ว่าหลงลืมตัวตนของเฟลย์ในห้องนี้ไป จากนั้นก็รีบอธิบายคำว่า \"ผู้มีพระคุณ\" ให้ลาคัสที่รับฟังอย่างเลื่อนลอยด้วยรู้แก่ใจดีว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น
\"เธอพูดไม่ได้เหรอ?\"
เจ้าชายคิระเพิ่งสังเกตหลังจากเห็นสาวน้อยเงียบกริบแม้จะมีทีท่าเข้าใจที่ตนพูดก็ตาม
\"อ๋อ..เป็นใบ้\"
เฟลย์เหยียดยิ้มออกมาและสายตาก็ดูเป็นมิตรกว่าเดิมเล็กน้อยมากจริงๆ
\"Alright! Alright! Lacus is mute now!\"
Pink-chanร้องเพลงออกมาอีกแล้ว
\"งั้นก็อยู่ด้วยกันที่นี่เถอะนะ ข้าจะดูแลเจ้าเอง\"
คิระเสนออย่างคนมีน้ำใจสร้างความซาบซึ้งแก่เจ้าหญิงไร้เสียงยิ่งนัก หากแต่ขัดหูขัดตาเฟลย์เป็นที่สุด
นับแต่นั้นมาลาคัสก็ได้อยู่ในวังของเจ้าชายในฐานะน้องสาวบุญธรรมอย่างสุขสบายไม่ต่างจากเมื่อครั้งอยู่ในทะเล และความใจดีของนางก็ทำให้เป็นที่รักของคนในวังอย่างรวดเร็ว หากแต่เฟลย์ที่ได้อาศัยในวังนี้ในฐานะผู้ช่วยชีวิตเจ้าชายไว้กลับไม่ชอบหน้าลาคัสมากที่สุด แม้ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าเจ้าชายจะแสร้งทำเป็นเวทนาสงสารเจ้าหญิงเงือกเสียเต็มประดา
แต่เวลาแห่งความสุขใกล้จะจบสิ้นลงเมื่อกำหนด3เดือนใกล้เข้ามา...เวลาแห่งการตัดสินใจว่าจะกลับสู่ทะเล หรือเป็นมนุษย์ที่อยู่ในฐานะน้องสาวของเจ้าชาย
ใต้บาดาล...
เมื่อคู่หมั้นหายสาปสูญไปได้เดือนกว่าๆ เจ้าชายเงือกอัสรันทนเป็นห่วงไม่ไหวและรู้สึกผิดมหาศาลที่แนะนำให้คู่หมั้นตนเองไปพบพ่อมดครูเซ่ เนื่องจากเพิ่งรู้เรื่องค่าตอบแทนอันสูงลิบตามธรรมเนียมนั้น
ในที่สุด...เมื่ออดรนทนรอไม่ไหวจึงรีบดิ่งไปหาพ่อมดพร้อมขอยาเปลี่ยนหางเป็นขาในทันที และแน่นอนว่าพ่อมดครูเซ่ไม่รอช้าที่จะเรียกร้องค่าตอบแทนตามแผนการณ์ที่ดำเนินมาช้านาน
\"ยาของข้าสามารถทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงได้ แต่เจ้าต้องมอบอาวุธคู่บ้านเมืองเจ้าเป็นสิ่งตอบแทน!\"
แต่อัสรันไม่ใช่คนไร้เดียงสาเหมือนลาคัสที่จะมอบGundam Justiceอันเป็นอาวุธคู่บ้านเมืองที่บิดามอบหมายให้ควบคุมดูแลเพื่อแลกกับของเช่นนี้ แต่ความห่วงใยต่อคู่หมั้นนั้นก็มากมายจนอัสรันตัดสินใจไม่ถูก ตอนนั้นเอง พ่อมดครูเซ่ที่กระหายในอาวุธอันร้ายกาจก็โน้มน้าวอีก
\"แม้แต่เจ้าหญิงลาคัสยังยอมแลก
เสียงของนางกับยาของข้า ข้าไม่ได้เรียกร้องสิ่งล้ำค่าของเจ้าเสียหน่อย\"
อัสรันเองก็รู้แน่แก่ใจว่าสิ่งล้ำค่าของตนหาใช่Gundam Justiceไม่ แต่ถ้ามอบให้พ่อมดเถื่อนคนนี้ไปแล้วความรู้ถึงหูบิดา(ซึ่งต้องรู้แน่ๆอยู่แล้ว) มีหวังโดนยิงด้วยโทสะสักหนึ่งนัดตามด้วยจับไปทรมานให้บอกว่าเอาGundamไปให้ใครแน่ๆ(และถ้ารู้ว่าให้ครูเซ่ก็มีหวังโดนฝังทั้งเป็นชัวร์)
ท้ายที่สุดแผนการณ์เจ้าเล่ห์ที่แม้แต่ครูเซ่ยังนึกไม่ถึงก็ผุดขึ้นในหัว เจ้าชายเงือกยินยอมแลกเปลี่ยนหลังจากทำทีลังเลอยู่นาน และเมื่อลงนามในสัญญาเรียบร้อยก็มอบรีโมตควบคุมJusticeให้ หากแต่ยาเปลี่ยนร่างที่ครูเซ่ให้มาคราวนี้ผิดกันเล็กน้อย กล่าวคือไม่มีใบฉลากกำกับยาแปะอยู่เลย
และครูเซ่ก็บอกแค่ว่าทำให้หางแห้ง และดื่มเข้าไปเป็นพอ...
ด้วยเหตุนี้อัสรันจึงทำตามโดยมิได้สำเหนียกถึงแผนชั่วร้ายของพ่อมดเถื่อนที่มอบยาเปลี่ยนร่างสมบูรณ์มาให้ ซึ่งจะทำให้เจ้าชายเงือกไม่สามารถกลับสู่ท้องทะเลได้อีก...นับเป็นการขจัดรัชทายาทแห่งZAFTโดยเบ็ดเสร็จจริงๆ!!
และอัสรันก็ทำตามอย่างคู่หมั้นสาว กล่าวคือไปหาชายหาดที่มีโขดหินใหญ่อยู่พ้นน้ำทะเล ปีนขึ้นไปรอให้หางแห้งและดื่มยาลงไป อึกแรกที่ล่วงผ่านลำคอสร้างความหนาวเย็นยิ่งกว่ามหาสมุทรแอนตาร์กติกชนิดที่หากไม่ใช่เงือกสายพันธุ์พิเศษอย่างตระกูลอัสรันแล้วอาจแข็งตายได้ และความหนาวเย็นจนถึงกับต้องห่อตัวนี้ก็คืบคลานผ่านกระเพาะไปยังหางอันปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีน้ำเงินดั่งไพลินเนื้อดี...เกล็ดปลาที่คู่หมั้นสาวชมเสมอมาว่าแวววาวดั่งหัวใจมหาสมุทร
หากแต่บัดนี้ภายใต้สติสัมปชัญญะที่เจียนไปเจียนอยู่...
เจ้าชายเงือกมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของหางตัวเองอย่างเลือนราง เกล็ดสีน้ำเงินงดงามค่อยๆหลุดร่วงออกไปราวกับมีใครมาขอดเกล็ดหางของตน และภายใต้เกล็ดปลาที่ควรจะเป็นเนื้อสีส้มสลับขาวเป็นชั้นๆ นุ่มๆ หยุ่นๆ ส่งกลิ่นหอมหวานนั้น กลับกลายเป็นขาสองข้างอย่างมนุษย์สีเดียวกับผิวของตน สิ่งมหัศจรรย์ที่แม้จะเตรียมใจไว้ก่อนแล้วเช่นนี้ทำให้สติที่เหลือเพียงน้อยนิดดับวูบไป...
\"ที่นี่คือ...\"
ประโยคแรกเมื่อเจ้าชายเงือกลืมตาขึ้นมาเพื่อพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงทอง ในห้องอันวิจิตรงดงาม ขาสองข้างที่ปรากฎชัดเป็นเครื่องหมายว่าเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ใช่ความฝันทำเอาเงือกหนุ่มเกิดอาการเศร้าเล็กๆ
\"ที่นี่คือปราสาทของข้าเอง\"
เสียงห้าวๆดังขึ้นเรียกให้เงือกพลัดถิ่นหันไปมอง และพบเจ้าของเสียงเป็นสาวน้อยท่าทางทะมัดทะแมง ดวงตาสีเขียวสดดั่งมรกตเนื้อดีรับกับเส้นผมสีทองสั้นซึ่งผิดแปลกมากสำหรับสตรีชาวมนุษย์ตามที่เจ้าชายร่ำเรียนมา หากแต่เสื้อผ้าอาภรณ์ประดับกายนางก็ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นเจ้าของปราสาทแห่งนี้
\"นามข้าคือ
คาการิ เป็นเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งORB แล้วนามเจ้าล่ะ?\"
หญิงสาวผู้กล่าวอ้างว่าตนเป็นเจ้าหญิงก้าวเข้ามานั่งข้างเตียงคนที่ตนเก็บมา
\"อัสรัน\"
เจ้าชายตกอับตอบเบาแสนเบา และรู้สึกตกใจในน้ำเสียงของตนเอง
\"เสียงของเจ้าไพเราะดีนะ\"
เจ้าหญิงคาการิพูดยิ้มๆพลางกระเถิบเข้ามาใกล้ชายหนุ่มยิ่งขึ้น
\"คือ...คือว่า...\"
อัสรันสำเหนียกแน่แก่ใจแล้วว่า \"เสียง\"ของคู่หมั้นสาวที่แอบลักมาพร้อมขวดยานั้นได้ซึมซาบเข้าไปในร่างกายตอนไหนไม่รู้ได้ จะว่าไปตอนกินยายังนึกไม่ออกเลยว่าเอา \"เสียง\" เก็บไว้ตรงไหนด้วยซ้ำ
\"ตกลงเจ้าเป็นเงือกหรือเป็นมนุษย์กันแน่?\"
เจ้าหญิงคาการิเริ่มรุกด้วยคำถาม และอัสรันก็จนด้วยเกล้าที่จะตอบ ยิ่งกว่านั้นยังเพิ่งนึกได้ด้วยซ้ำว่าสตรีผู้เก็บตนมาจากชายหาดนั้น
ก็คือคนเดียวกับที่ตนเป็นคนช่วยไว้ในคืนพายุฝนฟ้าคะนองจนเรืออับปางนั่นเอง แต่ความที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันทำให้เจ้าชายหนุ่มไม่สามารถจดจำนางได้
\"ตอนนั้นข้าเพลียมากเลยไม่ได้พูดคุยอะไรกับเจ้า แต่ข้าจำหางสีน้ำเงินของเจ้าได้อย่างแม่นยำทีเดียว\"
คาการิรุกไล่อย่างเหนือชั้นจนอัสรันอับจนถ้อยคำที่จะแก้ตัวเลยตอบทื่อๆ
\"เมื่อก่อนเป็นเงือก แต่ตอนนี้เป็นมนุษย์\"
ความที่ไม่อยากใช้เสียงคู่หมั้นสาวเลยพยายามประหยัดถ้อยคำอย่างถึงที่สุด หากเจ้าหญิงจอมเอาแต่ใจกลับคิดว่าอีกฝ่ายไม่เคยชินกับภาษาของมนุษย์เลยพูดไม่ค่อยได้ไปเสียนี่!
\"งั้นตอนนี้ก็ไม่มีที่ไปแล้วสินะ ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าเองแล้วกันเป็นการตอบแทนที่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ไงล่ะ\"
เจ้าหญิงตัดบทอย่างง่ายดายจนเจ้าชายอับโชคไม่ทันขัดขืน นอกจากจะคิดในใจว่าไม่น่าช่วยชีวิตแม่คนนี้เลย
\'กลายเป็นว่าโดนตอบแทนบุญคุณด้วยการรับเลี้ยงดูแบบนี้แล้วจะหาโอกาสไหนไปตามหาลาคัสได้เล่า!!\'
อัสรันได้แต่ตะโกนก้องร่ำร้องอยู่ในใจเนื่องจากไม่กล้าส่งเสียงออกไป ด้วยกลัวเจ้าหญิงเผด็จการจะโผล่มาทำอะไรต่อมิอะไรให้อึดอัดขัดข้องมากไปกว่านี้อีก
จากนั้นมาคาการิก็ดึงอัสรันไว้ข้างกายตลอดเวลาโดยไม่สนคำครหาจากประชาราษฎร์เรื่องควงชายไม่มีหัวนอนปลายเท้าทั้งที่มีคู่หมั้นต่างเมืองอยู่ทนโท่ แต่ด้วยการวางตัวอย่างนอบน้อมถ่อมตนและรัศมีเจ้าชายเงือกก็ทำให้ข้าราชบริพารทั้งในวังและในอาณาจักรยอมรับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก อีกทั้งข่าวคาวหนาหูเกี่ยวกับพระคู่หมั้นของเจ้าหญิงคาการิว่ามีสาวๆพัวพันไม่ห่างถึงสองนางนั้นก็ทำให้คะแนนความเห็นใจเอนเอียงมายังเจ้าหญิงของตนมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดพระราชาเริ่มทนไม่ไหวกับปัญหาคาราคาซังของลูกหญิงเลยเรียกมาถามการตัดสินใจว่าจะเอาไงแน่
[font size=2]\"ลูกจะถอนหมั้นแน่นอนเพคะ\"[/font]
เจ้าหญิงประกาศกร้าวอย่างเด็ดเดี่ยวเมื่อสดับคำถามจากพระบิดาจบในเสี้ยววินาที ตามด้วยเหตุผลน่าเห็นใจ...
\"ผู้ชายที่แอบว่ายน้ำหนีกลับฝั่งโดยทิ้งคู่หมั้นให้ลอยทะเลไปตามยถากรรมตั้งหนึ่งวันหนึ่งคืนแบบนั้น ควรค่าแก่การเลือกมาเป็นผู้สืบทอดราชวงศ์แห่งเกียรติยศของเรางั้นหรือเพคะ? อีกทั้งอัสรันก็เป็นผู้มีพระคุณที่อุตส่าห์พาลูกกลับมายังฝั่งโดยปลอดภัย ตามกฎมณเฑียรบาลแล้วก็สมควรได้รับรางวัลคือตัวลูกอยู่แล้วนะเพคะ\"
พระราชาจึงกระอักกระอ่วนใจเป็นอันมากเพราะตามใจลูกหญิงมาตั้งแต่เล็กไม่เคยบังคับกะเกณฑ์อะไร หากแต่การดูตัวคู่หมั้นครั้งแรกที่เป็นพันธสัญญาตั้งแต่เจ้าหญิงยังอยู่ในครรภ์พระราชินีด้วยต่างก็เป็นบ้านพี่เมืองน้องกลับเกิดเหตุการณ์น่าสลด เมื่อเรือสำราญที่ตั้งใจจะให้ทั้งสองได้พำนักเพื่อศึกษาเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้อับปางลงด้วยพายุฝนอันไม่มีเค้าลางล่วงหน้า และด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ เจ้าชายแห่งอาณานิคมเฮลิโอโพลิสกลับมาเกยฝั่งก่อนพระคู่หมั้นสาวถึง2วัน จนพระราชาเจียนคลั่งด้วยคิดว่าลูกสาวจมลงสู่ท้องทะเลไปแล้ว แต่ก่อนที่จะประกาศการสิ้นพระชนม์อย่างเป็นทางการ ก็มีชาวประมงพบลูกหญิงนอนสลบสไลอยู่ริมหาดของอาณาจักรพอดี และเจ้าหญิงก็ไม่เคยปริปากพูดถึงเหตุการณ์บนเรืออีกเลย รวมทั้งสาเหตุที่มาเกยฝั่งได้โดยไม่มีสิ่งใดช่วยลอยคออีกด้วย
\"ถ้าเช่นนั้นก็ไปบอกกล่าวคู่หมั้นของเจ้าด้วยตัวเองก็แล้วกัน แต่อย่าตำหนิเรื่องสตรีที่ทางนั้นพัวพันอยู่เชียวนะ เพราะทางเจ้าก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน\"
เมื่อได้รับพระราชานุญาตแกมตักเตือนเหน็บแนมจากบิดาแล้วเช่นนี้ มีหรือที่องค์หญิงคาการิจะลังเล
กลางดึกคืนนั้นเจ้าหญิงคาการิเข้าไปลากอัสรันถึงห้องบรรทมที่จัดไว้ให้อยู่เคียงข้างกันและมีประตูเปิดทะลุถึงกันได้ พร้อมรับสั่งให้จัดกระเป๋าเตรียมเดินทางเมื่อฟ้าสางทันที สร้างความดีใจแก่อัสรันยิ่งนักด้วยหาทางหนีมาเนิ่นนานแล้วแต่ไม่สบโอกาสเสียที หากได้เดินทางทางเรือเช่นนี้จะรีบว่ายน้ำหนีไปให้ไกลสุดหล้าทีเดียว
ดังนั้นเมื่อเรือแล่นอยู่กลางทะเล เจ้าชายเงือกผู้ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเองก็หาโอกาสเหมาะโดดน้ำหนีทันที
แต่อนิจจา...อัสรันดันลืมถามพ่อมดโฉดถึงวิธีกลับคืนร่างเดิมเสียนี่ และแม้สองขาจะตะเกียกตะกายพุ้ยน้ำเพียงใดก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับกลายเป็นหางอีกเลย ซ้ำร้ายลมหายใจเริ่มขาดห้วงด้วยไม่มีเหงือกให้ใช้อีกแล้ว แต่สวรรค์ก็ยังไม่เมินองค์ชายนักเมื่อเจ้าหญิงคาการิทราบเรื่องก็รีบกระโดดลงไปช่วยทันที แล้วนรกก็ตามซ้ำเติมไม่ยั้งเมื่อทั้งสองรอดชีวิตด้วยห่วงยางของลูกเรือ
\"ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้เป็นครั้งที่สองแล้วนะ ต่อไปนี้ห้ามทำอะไรที่ข้าไม่ได้สั่งอีกเด็ดขาด!\"
คาการิเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางทำหน้าถมึงทึงใส่อัสรันที่หมดอาลัยตายอยาก แต่ในใจก็นึกยินดีเล็กน้อยที่เล่นทริคนิดหน่อยกับGundam JUSTICEให้พ่อมดครูเซ่เต้นแร้งเต้นกาเล่น เมื่อพบว่าไม่สามารถขึ้นขับได้ แถม\"เสียง\"ของเจ้าหญิงลาคัสยังโดนขโมยไปเป็นของแถมอีก แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าชายเงือกตกอับไม่อาจคาดการณ์ได้คือ แผนร้ายของครูเซ่ไม่ยอมหยุดด้วยอุปสรรคเช่นนี้แน่!!
ดังนั้นเจ้าชายอัสรันผู้อาภัพจึงได้แต่ก้มหน้ารับกรรมอยู่ในโอวาทของเจ้าหญิงคาการิผู้มีพระคุณโดยไม่ปริปาก จวบจนกระทั่งเรือล่องมาถึงอาณาจักรเฮลิโอโพลิศ และบนเรือที่ฝ่ายคู่หมั้นส่งมารับนั้นเอง...
หนึ่งชายสองหญิงที่ก้าวเข้าสู่เรือจากอาณาจักรORBเดินเกาะกลุ่มกันมาอย่างสนิทแนบแน่นชนิดที่เรียกว่าเนื้อแนบเนื้อจนแขกจากต่างแดนทั้งสองเกิดอาการลมออกหู!!
\"ไม่ต้องเชิญข้าเข้าเมืองของเจ้าหรอก ข้าแค่มาประกาศถอนหมั้นกับเจ้าอย่างเป็นทางการเท่านั้น!!\"
เจ้าหญิงคาการิกล่าวเสียงปั้นปึ่ง ด้วยรู้สึกเสียหน้าอย่างมหาศาลที่อีกฝ่ายมีสองสาวขนาบข้างละคน
\"ดะ..เดี๋ยวก่อนสิ คาการิ!\"
เจ้าชายคิระรีบลนลานถลันเข้าไปหา หากแต่เฟลย์ซึ่งตามติดสนิทแน่นออกแรงดึงแขนไว้เต็มกำลังพร้อมรอยยิ้มแห่งชัยชนะ ด้วยในที่สุดข่าวลือที่เพียรพยายามสร้างมาหลายเดือนก็รู้ไปถึงหูของเจ้าหญิงถึงกับรีบรี่มาถอนหมั้นสมดังใจหมาย
แต่สาวอีกนางหนึ่งกลับไม่ได้สนใจในเรื่องดังกล่าวนอกจากจ้องใบหน้าบุรุษผู้อยู่เคียงข้างเจ้าหญิงจอมเอาแต่ใจอย่างตะลึงลาน
\'อัสรัน...ทำไม\'
ริมฝีปากพึมพำขยับเป็นคำพูดแต่ไร้เสียงใดๆเล็ดลอดออกมา ทำให้คู่หมั้นหนุ่มที่กำลังจะสูญเสียสถานภาพสะท้อนสะท้านใจยิ่งนัก จนเผลออ้าปากส่งเสียงเรียกออกมา
\"ลาคัส...\"
วิบตาที่เจ้าชายเงือกหลุดคำพูดออกมา ทุกคนในที่นั้นหันไปจ้องมองดั่งตัวประหลาดเป็นตาเดียวกัน
\'อะไรกัน!\'
เจ้าหญิงเงือกผู้ยอมสละฐานันดรศักดิ์เพื่อตามหารักแท้เอ็ดอึงอยู่ในอก น้ำตาคลอเต็มดวงตา ในขณะที่Pink-chanเองก็หงอยเหงาราวรับรู้ถึงความรู้สึกในใจนายสาวจนไม่โผเข้าใส่หน้าอัสรันดังกาลก่อน
\"เสียงนี้...ข้าจำได้\"
เจ้าชายคิระรำพึงออกมาพร้อมน้ำตากบนัยน์ตาสีม่วงสวยสดคู่นั้น จนแม้แต่เฟลย์ก็ยังชะงักการเกาะกุม หากแต่ด้วยเหตุผลว่าไม่เคยได้ยินเสียงที่ไพเราะเช่นนี้มาก่อน แม้แต่เจ้าหญิงคาการิที่หัวเสียอย่างหนักเมื่อได้สดับเสียงใสจากคนที่ตนเก็บได้ยังหายขุ่นข้องหมองมัวเป็นปลิดทิ้ง
\"เสียงนี้คอยกล่อมข้าตลอดคืนที่นอนหนาวสั่นอยู่บนชายหาด เจ้าเป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้ใช่ไหม?\"
เจ้าชายคิระหลุดจากการเกาะกุมของเฟลย์ที่ตกตะลึงในเรื่องไม่คาดหมาย เข้าไปกุมมืออัสรันขึ้นมาแทนทันที
\"ลาคัส!\"
แต่อัสรันกลับสนใจความรู้สึกของคู่หมั้นแทนเมื่อเห็นหยดน้ำคลอคลองเต็มหน่วยตา ริมฝีปากสั่นระริกราวอยากต่อว่าต่อขานตนเองที่กิน \"เสียง\" ของนางไปและทรยศเฉกเช่นนี้
พลันนั้นเงือกสาวก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะกลับสู่ท้องทะเลและตัดสายสัมพันธ์กับเจ้าชายอัสรันเด็ดขาดโดยไม่ใส่ใจจะรับฟังคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น
\"Lacus! Lacus! Watch Out!!\"
Pink-chanร้องเสียงแสบแก้วหูเรียกสติทุกคนให้หันมามองเจ้าหญิงผมชมพูที่กำลังปีนกราบเรือเตรียมโดดลงไป
\"ไม่ได้นะ Lacus! ฟังข้าก่อน\"
อัสรันพุ่งเข้ารวบคู่หมั้นสาวไว้ได้ทัน และไม่รอช้ารีบอธิบายให้เข้าใจก่อนเรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้
เมื่อลาคัสรับฟังเรื่องทั้งหมดอย่างมีสติแล้ว น้ำตาก็พรั่งพรูลงมาด้วยความซาบซึ้งใจในความรักที่คู่หมั้นมีให้ หากแต่หัวใจทั้งดวงของนางมอบให้เจ้าชายคิระไปตั้งแต่แรกพบและฝังรากลึกในระยะเวลาสามเดือนจนมิอาจทิ้งดวงใจนี้ไปได้เสียแล้ว แม้อัสรันจะเพียรพยายามทำดีกับนางเพียงใดก็คงลบเลือนหายไปดั่งรอยทรายเท่านั้น
\"ลา...คัส\"
เจ้าชายรัชทายาทแห่งZAFTเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงคู่หมั้นอย่างเจ็บปวด เมื่อสิ่งที่ปรากฎชัดในดวงตาของนางคือเงาของเจ้าชายคิระอย่างชัดเจน บัดนี้และต่อๆไป...ไม่มีความสัมพันธ์ใดระหว่างตนกับเจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงมากเกินกว่านี้อีกแล้ว
\"หมายความว่าลาคัสยอมแลกเปลี่ยน \"เสียง\" ของตนเองเพื่อให้ได้มาพบข้างั้นหรือ...\"
เจ้าชายคิระพึมพำเบาๆอย่างไม่อยากเชื่อความจริงที่ได้ปรากฎ รวมทั้งคาการิที่รับรู้แล้วว่าแท้จริงคู่หมั้นของตนมิได้ทอดทิ้งหนีไป หากแต่ได้รับการช่วยเหลือไปขณะไม่ได้สติต่างหาก แต่ขณะนี้...แม้จะเข้าใจในตัวคู่หมั้นที่ยังมีท่าทีโหยหาตนอยู่นั้น เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ก็ไม่อาจตอบรับความรักจากเจ้าชายคิระได้อีก เมื่อดวงตาสีมรกตของนางต้องมนต์เสน่ห์เกล็ดสีน้ำเงินงดงามสมดั่งคำเปรียบ \"หัวใจมหาสมุทร\" ที่ลาคัสเรียกขานเสียแล้ว
\"ข้าขอโทษที่เข้าใจเจ้าผิด\"
เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งORBเอ่ยเสียงเด็ดขาดหลังจากนิ่งงันไปครู่ใหญ่ต่อภาพบาดตาบาดใจตรงหน้า
\"แต่ข้าไม่ขอคืนคำที่มอบอิสรภาพในการเลือกคู่ครองแก่เจ้า เพราะตามกฎมนเฑียรบาลแล้ว ข้าต้องตอบแทนผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ด้วยชีวิตที่เหลือทั้งหมดของข้า\"
\"งั้นหรือ...\"
คิระเอ่ยออกมาได้เท่านั้นเมื่อสติทั้งหมดจับจ้องไปยังภาพบาดตาสำหรับบุคคลที่สามของสตรีที่ตนรับเป็นน้องสาวกับบุรุษที่ดูท่าจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนางเสียเหลือเกิน
\"ถ้าเช่นนั้นท่านก็แต่งงานกับข้าได้แล้วใช่ไหมคะ?\"
เฟลย์รีบฉวยโอกาสช่วงจิตใจเจ้าชายว้าวุ่นเรียกร้องสิ่งตอบแทนอย่างเหมาะเจาะ หากกลับทำให้คิระได้สติคิดหาทางออกที่ละมุนละม่อมและไม่เสียสัจจะวาจา
\"ไม่ได้หรอก เฟลย์\"
น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำนั้นดั่งสายฟ้าฟาดสวรรค์ที่หญิงสาวเห็นอยู่ลิบๆ
\"ตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว ข้าต้องตอบแทนผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตด้วยช่วงชีวิตที่เหลือทั้งหมดของข้า\"
\"ข้าไงล่ะ! ข้าไงล่ะที่ช่วยท่านที่ชายหาด\"
แม้จะกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้วว่าใครคือผู้ที่องค์ชายเลือก แต่ความที่รอคอยมาหลายเดือนย่อมไม่ทำให้นางรามือง่ายๆ ด้วยความหวังเพียงน้อยนิดว่าเจ้าชายจะเห็นใจทำให้โผเข้ากอดพร้อมน้ำตาสะอึกสะอื้น แต่แล้วคิระก็ผลักไสโดยแรงจนสาวเจ้าล้มลงกับพื้น แล้วรีบรุดเข้าไปหาเงือกสาวที่ยังสะอึกสะอื้นอยู่ต่อหน้าคู่หมั้นที่กำลังจะกลายเป็นอดีต
\"ลาคัส...แต่งงานกับข้านะ\"
สายตาทุกคู่พุ่งเป้าไปยังใบหน้าหวานซึ้งของเจ้าชายแห่งเฮลิโอโพลิสทันที
\"ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ข้าไม่เคยไร้สุขเมื่อมีเจ้าอยู่เคียงข้างเลย ข้าตระหนักชัดแล้วว่าเจ้าคือคนสำคัญของข้า\"
คิระค่อยๆบรรจงจุมพิตหน้าผากของลาคัสอย่างอ่อนโยนแต่สามารถหยุดน้ำตาเงือกสาวได้อย่างชะงัด หากแต่น้ำตาของอัสรันกลับท่วมท้นอยู่ในอกเมื่อต้องถอนตำแหน่งคู่หมั้นให้กับรักแรกของตนเพื่อความสุขของนาง
\"อัสรัน...\"
คาการิก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง
\"เป็นคู่หมั้นของข้าแทนได้ไหม?\"
และคำตอบของเจ้าชายเงือกผู้อกหักก็คือ...
\"ถ้าเจ้าไม่รังเกียจเงือกไม่มีที่ให้กลับไปอย่างข้าล่ะก็...\"
แต่ยังไม่ทันที่ความสุขซึ่งพึ่งก่อตัวบนเรือจะจางหายไป ท้องฟ้าอันใสกระจ่างกลับแปรเปลี่ยนเป็นมืดทะมึนดั่งคืนวันที่เกิดพายุฝนอันไม่มีเค้าลางล่วงหน้าเช่นนั้น!?!
ทันใดนั้นก็มีเสียงสะท้อนก้องมาจากท้องทะเล
\"เจ้าชายอัสรัน! ปลดผนึกGundam Justiceเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะไม่คืนหางให้เจ้า!!\"
ที่แท้คือเสียงพ่อมดครูเซ่ผู้ตระหนักชัดแล้วว่าไม่สามารถแก้ผนึกของผู้ถือครองอาวุธคู่บ้านเมืองZAFTได้
\"ถึงข้าปลดผนึกให้ก็ใช่ว่าเจ้าจะยอมคืนร่างเดิมให้ข้านี่ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะที่เจ้าให้ยาเปลี่ยนร่างถาวรมา แต่ของลาคัสกลับเป็นยาเปลี่ยนร่างชั่วคราว!\"
อัสรันตะโกนกลับไปยังเจ้าของเสียงที่อยู่ใต้ท้องทะเล
\"เพราะข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีทางมอบอาวุธให้ข้าโดยดีน่ะสิ แถมยังขโมย \"เสียง\" ที่สำคัญไปอีก\"
พร้อมคำพูดนั้น...ร่างเงือกตัวใหญ่สีทองก็ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากท้องทะเลพร้อมอาวุธที่อัสรันเอาไปแลกยา
\"ตะแบงหน้าด้านๆ\"
คาการิขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อเห็นร่างเจ้าของเสียงนั้น และตระหนักแน่แก่ใจแล้วว่ามันผู้นี้แหละที่สร้างพายุฝนมาล่มเรือสำราญของตนจนเกือบตาย
\"อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะ เจ้าชายแห่งเฮลิโอโพลิสยังอุตส่าห์รอดชีวิตมาได้อีก\"
พ่อมดหัวเราะอย่างฆาตกรโรคจิตก่อนอธิบายเหตุผลที่ล่มเรือในครั้งนั้นว่าต้องการกำจัดเจ้าชายคิระผู้ครอบครองอาวุธแห่งท้องทะเล Gundam Freedom ซึ่งได้รับเป็นของขวัญจากราชาเงือกแห่งคาบสมุทรPlantตั้งแต่ครั้งบรรพกาลนั่นเอง และหากได้ครอบครองอาวุธแห่งท้องทะเลทั้งสองชิ้นก็จะสามารถครองผืนน้ำทั้งหมดได้โดยไร้คู่ต่อกร
\"หากเจ้ายอมปลดผนึกJustice ข้าก็จะยอมบอกวิธีคืน \"เสียง\" ของเจ้าหญิงแก่เจ้า\"
สุดท้ายครูเซ่ก็เลือกจับจุดอ่อนคือสิ่งล้ำค่าสูงสุดของเจ้าชายเงือก และแน่นอนว่าแม้ลาคัสจะแสดงทีท่าขัดขวางเพียงไร อัสรันก็ตัดสินใจทำตามข้อเสนออย่างแน่นอน
เมื่ออัสรันบอกรหัสที่ใช้ปลดผนึกอาวุธคู่บ้านเมืองไปแล้ว สิ่งที่พ่อมดโฉดส่งกลับมาคือ...
เปรี้ยงงง
\"Lacus!?!\"
คิระและอัสรันวิ่งเข้าไปประคองร่างที่หายใจอ่อนแรงเพราะพุ่งเข้ารับพลังแทนคนที่รักตนและคนที่ตนรักมากที่สุดทั้งสองคน
แล้วด้วยความโกรธา เจ้าชายคิระก็เรียกGundam Freedomที่ครูเซ่หมายปองออกมาเข้าต่อสู้อย่างสูสี ส่วนอัสรันก็ร่ำไห้ด้วยความเศร้าในเคราะห์กรรมของอดีตคู่หมั้น
\"ขอโทษนะ...ลาคัส\"
เจ้าชายเงือกแห่งคาบสมุทรZAFTค่อยๆบรรจงจุมพิตที่ริมฝีปากสีกุหลาบอย่างแผ่วเบา พลันนั้น...แสงเรืองรองสีชมพูเป็นประกายดั่งเพชรสีชั้นดีก็ร่วงผ่านริมฝีปากสู่ลำคอของลาคัส ไม่ช้าไม่นานนางก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมเสียงเพลงอันไพเราะก็บรรเลงขึ้นอีกครา
เสียงเพลงที่ลาคัสขับร้องออกมานั้นส่งผ่านเกลียวคลื่นสู่ผืนน้ำจรดใต้ทะเลลึก บรรดาเงือกทั่วคาบสมุทรPlantและZAFTต่างได้ยินเสียงเพลงของนางจนต้องโลดแล่นขึ้นมาสู่ผืนน้ำด้วยมนต์เสน่ห์อันแฝงเร้นอยู่ในน้ำเสียง และความสามารถนี้แหละที่ครูเซ่ต้องการนักหนาเพื่อใช้ปกครองทะเลทั้งหมด
แม้แต่พ่อมดครูเซ่ซึ่งมีตบะแกร่งกล้ายังเผลอไผลไปกับเสียงเพลงอันอ่อนหวานนี้จนละสายตาจากคู่ต่อสู้ ทำให้คิระฉวยโอกาสยิงลำแสงวินาศสันตะโรใส่ห้องควบคุมจนพ่อมดชั่วกระเด็นหายลับไปกับเมฆหมอกมืดครึ้มที่สลายหายไป และท้องฟ้าใสกระจ่างกลับมาดังเดิม...
จากนั้นคู่รักสลับกันมั่วซั่วทั้งสองก็ครองรักกันต่อไปอย่างมีความสุข โดยเจ้าหญิงและเจ้าชายเงือกต่างก็ไม่หวนกลับสู่บ้านเมืองตนเองอีกเลย
และGundamทั้งสองก็คอยปกป้องคุ้มครองทั้งทะเลทั้งแผ่นดินชั่วนิรันดร์...
FIN
Note: I am sure this fairytale must be revised to relaunch in GWF2004[=_=\"]
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น